ดร.วรรณพ วิเศษสงวน ผู้อำนวยการไบโอเทค สวทช. กล่าวว่า ไบโอเทค สวทช. โดย ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการเกษตรแบบแม่นยำ ได้มีการทำงานร่วมกับ ศูนย์วิทยาศาสตร์ข้าว มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา โดยมุ่งเน้นการสร้างความเข้มแข็งให้กับภาคเกษตรกรรมของประเทศ โดยเน้นด้านการพัฒนาพันธุ์พืช และการบริหารจัดการการผลิตที่มีประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยปัจจุบันไบโอเทค สวทช. เป็นเลิศทางด้านนวัตกรรมการปรับปรุงพันธุ์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะการปรับปรุงพันธุ์แนวอณูวิธี (molecular breeding) กับพืชเศรษฐกิจที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าว ซึ่งเน้นพัฒนาพันธุ์ข้าวตามความต้องการของผู้ผลิต ผู้บริโภค และความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ และเน้นพันธุ์ข้าวที่มีคุณสมบัติโภชนาการที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพของผู้บริโภค โดยที่ผ่านมา ไบโอเทค สวทช. ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร ได้มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าวประสบความสำเร็จมาแล้วมากมาย อาทิ ข้าวพันธุ์เหนียวพันธุ์ธัญสิริน ข้าวเหนียว กข6 ต้นเตี้ยต้านทานโรคไหม้และโรคขอบใบแห้ง ข้าวน่าน59 และ กข18 ต้านทานโรคไหม้ ซึ่งเผยแพร่ให้เกษตรกรทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือเพื่อความมั่นคงในการบริโภคข้าวเหนียวของพื้นที่ และลดปัญหามลพิษจากสารเคมี พันธุ์ข้าวหอมชลสิทธิ์ทนน้ำท่วมฉับพลัน ซึ่งเป็นพันธุ์ข้าวเจ้าพื้นนุ่ม ไม่ไวต่อช่วงแสง ที่ผลผลิตสูงซึ่งเผยแพร่ให้เกษตรกรในภาคใต้โดยเฉพาะ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สร้างความมั่นคงด้านอาหาร นอกจากนั้น เผยแพร่ให้เกษตรกรทั้งภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ซึ่งทำให้เกษตรกรมีความเสี่ยงน้อยลงและเพิ่มรายได้ สำหรับข้าวเหนียวหอมนาคา เป็นพันธุ์ข้าวเหนียวใหม่ ที่มีคุณสมบัติพิเศษเหนือข้าวเหนียวชนิดไม่ไวต่อช่วงแสงในปัจจุบัน เช่น ทนต่อน้ำท่วม ทนแล้ง ต้านทานโรคไหม้และขอบใบแห้ง มีความหอมและนิ่ม เป็นต้น นอกจากนี้ ไบโอเทค สวทช. ยังได้ทำงานร่วมมือทั้งกับหน่วยงานภาครัฐ และมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมทั้งทำงานร่วมกับชุมชนในแง่ของการให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมเอง และการสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในแง่ของการผลิตเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีไว้ใช้เองอีกด้วย
ด้าน ดร.ธีรยุทธ ตู้จินดา หัวหน้าทีมพัฒนาพันธุ์ข้าวของ ไบโอเทค ปัจจุบันรักษาการ รองผู้อำนวยการไบโอเทค ด้านวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร กล่าวว่า ที่ผ่านมา ไบโอเทค สวทช. นำความเชี่ยวชาญทางด้านจีโนมและเครื่องหมายโมเลกุลมาใช้ในกระบวนการคัดเลือก (Marker- Assisted Selection, MAS) เพื่อปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้รวดเร็วและมีลักษณะตามความต้องการที่เกื้อกูลการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการพัฒนาพันธุ์ข้าวเหนียวของประเทศ เน้นไปที่ผู้บริโภคและเกษตรกรผู้ผลิตเป็นหลักเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหารแก่พื้นที่ที่บริโภคข้าวเหนียวเป็นอาหารหลัก โดยได้พันธุ์ข้าวเหนียวนาปีหลายสายพันธุ์ที่ตอบโจทย์ของเกษตรกร ปัจจุบันได้พัฒนาข้าวเหนียวที่เหมาะสำหรับนาปี และนาปรัง คือข้าวเหนียวสายพันธุ์ใหม่ “หอมนาคา” ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานต่อภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ทนแล้ง และต้านทานต่อโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง นอกจากนี้ยังมีลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ขนาดต้นสูงปานกลาง ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่าย สอดรับกับการทำนาสมัยใหม่และแนวโน้มการทำนาในอนาคตที่เครื่องจักรจะเข้ามาแทนที่
ดร.ธีรยุทธ กล่าวต่อว่า พันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคา มีคุณสมบัติเด่น คือ กลิ่นหอม และนุ่มเหนียวเมื่อหุงสุก สามารถปลูกได้ตลอดปี (ปลูกได้ทั้งนาปีและนาปรัง) เพราะเป็นข้าวไม่ไวแสง มีระยะเวลาในการปลูกประมาณ 130–140 วัน ให้ผลผลิตสูง โดยผลจากการทดลองปลูกพบว่า ในพื้นที่ภาคเหนือมีผลผลิต 800–900 กิโลกรัมต่อไร่ และภาคอีสานมีผลผลิตสูงถึง 700–800 กิโลกรัมต่อไร่ สำหรับข้าวเหนียวพันธุ์หอมนาคานี้ ทาง ไบโอเทค สวทช. ได้ยื่นขอหนังสือรับรองพันธุ์พืชขึ้นทะเบียน ตามพระราชบัญญัติพันธุ์พืช พ.ศ. 2518 และได้รับการขึ้นทะเบียนพันธุ์จากกรมวิชาการเกษตรเรียบร้อยแล้ว
ดร.กัญญณัช ศิริธัญญา มูลนิธิรวมใจพัฒนา ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในปี 2562 ได้มีการทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา ในการนำไปปลูกทดสอบในแปลงเกษตรกร ในพื้นที่ จ.ลำปาง จ.พะเยา และ จ.เชียงราย รวมพื้นที่ประมาณ 95 ไร่ ได้ผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 807 กิโลกรัมต่อไร่ โดยในการปลูกทดสอบครั้งนี้ ได้ถ่ายทอดองค์ความรู้วิธีการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวให้ได้มาตรฐานและตรงตามพันธุ์ โดยมุ่งเน้นให้เกษตรกรสามารถผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวใช้เอง และเกิดการรวมกลุ่มเป็นวิสาหกิจเมล็ดพันธุ์เพื่อผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมนาคาในอนาคต
และในปี 2563 ได้มีการขยายผลการปลูกทดสอบร่วมกับสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด โดยจัดส่งเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาให้ทางสหกรณ์ฯ จำนวน 400 กิโลกรัม สามารถปลูกได้จำนวน 58 ไร่ มีเกษตรกรเข้าร่วมปลูกจำนวน 6 คน ซึ่งทาง ไบโอเทค สวทช. ภายใต้โปรแกรมนวัตกรรมเกษตรยั่งยืน ได้ร่วมกับสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร ดำเนินการอบรมเกษตรกรเรื่อง “การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวคุณภาพดี” โดยจัดขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา มีเกษตรกรเข้าร่วมทั้งสิ้น 33 คน เพื่อสร้างความตระหนักและแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีการผลิตเมล็ดพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว ลดต้นทุนการผลิต ส่งเสริมการเพิ่มพูนและแลกเปลี่ยน ความรู้ระหว่างเกษตรกร ตลอดจนเสริมสร้างศักยภาพการผลิตข้าวคุณภาพตรงตามพันธุ์ และมีการบริหารจัดการแปลงที่ดีนำไปสู่การได้รับมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices)
คุณธีรภัทร์ คำสม ผู้จัดการสหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด กล่าวว่า สหกรณ์ได้นำเมล็ดพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาจากไบโอเทค สวทช. กว่า 400 กิโลกรัม มาปลูกในพื้นที่อำเภอห้างฉัตร รวมจำนวนกว่า 58 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ของสหกรณ์ห้างฉัตรฯ 8 ไร่ และกลุ่มเกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ฯ รวม 50 ไร่ โดยผลผลิตที่เก็บเกี่ยวในฤดูกาลแรกคาดว่าจะได้เป็นเมล็ดพันธ์ุข้าวคุณภาพดี 10-15 ตัน เพื่อปลูกในฤดูถัดไป และข้าวเปลือก 20-25 ตัน ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเมื่อเทียบกับข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 ซึ่งเป็นพันธุ์ดั้งเดิมที่เกษตรกรในพื้นที่ปลูกกันอยู่นานแล้ว
“ข้าวเหนียวพันธุ์ กข6 มีข้อเสียคือ มีความไวต่อแสง ลำต้นสูงหักล้มง่าย และปลูกได้เพียงครั้งเดียวต่อปีเท่านั้น ขณะที่ข้าวเหนียวหอมนาคามีลักษณะเด่นของพันธุ์ คือ ลำต้นเตี้ยแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ทำให้เก็บเกี่ยวได้ง่ายขึ้น ลดค่าแรงคนในการเก็บเกี่ยว และปลูกได้ 2 ครั้งต่อปี ทนต่อโรคได้ดี ที่สำคัญจากการทดลองนำข้าวเหนียวพันธุ์หอมนาคาที่เก็บเกี่ยวได้จากแปลงทดลองมาลองหุงกิน ยืนยันได้ถึงคุณภาพของข้าว เพราะหุงสุกแล้วมีความนุ่มหอมไม่ต่างจากพันธุ์ กข6 ที่มีจุดเด่นเรื่องความหอมและนุ่มนาน”
ผู้จัดการ สหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีเกษตรกรในพื้นที่ให้ความสนใจสอบถามถึงพันธุ์ข้าวหอมนาคาจำนวนมาก เพราะเห็นถึงลักษณะเด่นของพันธุ์ข้าวที่มีลำต้นเตี้ย ไม่หักล้มง่าย และผลผลิตต่อไร่ค่อนข้างดี ทำให้สหกรณ์ฯ เตรียมวางแผนขยายผล โดยจะถ่ายทอดให้ความรู้เกษตรกรในพื้นที่ตั้งแต่การผลิตเมล็ดพันธุ์ที่ได้รับถ่ายทอดการผลิตจากทีมวิจัย สวทช. และเครือข่าย เพื่อกระจายเมล็ดพันธุ์ให้แก่เกษตรกรที่สนใจนำพันธุ์ข้าวเหนียวหอมนาคาไปปลูก เมื่อได้ผลผลิตแล้ว มีแผนวางจำหน่ายข้าวสารบรรจุถุง โดยเกษตรกรที่เป็นสมาชิกจำนวนหนึ่งสามารถนำข้าวมาสีที่โรงสีของสหกรณ์ฯ เพื่อจำหน่ายได้เลย โดยในเบื้องต้นวางจำหน่ายข้าวเปลือกราคา 30 บาทต่อกิโลกรัม และข้าวสาร 35 บาทต่อกิโลกรัม ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ที่ สหกรณ์การเกษตรห้างฉัตร จำกัด โทร.054-269062-3