ทีมวิจัยนวัตกรรมด้าน
พันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช
ข้อมูลเกี่ยวกับทีมวิจัย
ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช มุ่งเน้นการสร้างองค์ความรู้ใหม่ ด้วยเทคโนโลยีอณูชีววิทยาและเทคโนโลยีชีวภาพพืช เพื่อนำมาสร้างฐานความรู้ความเข้าใจในระดับชีวโมเลกุล เพื่อการใช้ประโยชน์ในเชิงองค์ความรู้ด้านชีวสังเคราะห์ และการนำไปใช้เชิงเภสัชวิทยา และเน้นสร้างองค์ความรู้ด้านสรีรวิทยาของพืชในการตอบสนองต่อสภาพแวดล้อม เพื่อใช้ในการบริหารจัดการการผลิตพืชอย่างมีประสิทธิภาพ ตอบโจทย์ปัญหาของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศโลก การเพิ่มรายได้ให้เกษตรกรผู้ผลิต การผลิตพืชมูลค่าสูง และส่งเสริมเศรษฐกิจฐานชีวภาพ
พันธกิจ
– บูรณาการองค์ความรู้ด้านชีวเคมีและสรีรวิทยาพืช ร่วมกับเทคโนโลยีอณูชีวโมเลกุล เทคโนโลยีชีวภาพพืชสมัยใหม่ เพื่อการปรับปรุงพันธุ์พืชให้มีลักษณะทางพันธุกรรมที่ดี
– เป็นพันธมิตรที่ดีในการดำเนินงานวิจัยร่วมกับหน่วยงานภายใน สวทช. และหน่วยงานภายนอก เพื่อตอบโจทย์วิจัยด้านนวัตกรรมการเกษตรยั่งยืน และมีผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจของประเทศ
– พัฒนาองค์ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับกลไกการสังเคราะห์แป้งและกระบวนการเมตาบอลิสึมของน้ำตาล ทั้งในระดับยีน (เช่น การศึกษากลไกการควบคุมการแสดงออกของยีน) และระดับโปรตีน (เช่น การศึกษาปฏิสัมพันธ์ของโปรตีน) โดยการผนวกวิธีการทางอณูชีววิทยา และชีวสารสนเทศเข้าด้วยกัน
– สืบค้นยีนในเครือข่ายพันธุกรรมควบคุมการชักนำรากสะสมอาหารในมันสำปะหลัง เพื่อนำไปสู่ความเข้าใจในพืช เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการเป็นฐานองค์ความรู้สำหรับการปรับปรุงสายพันธุ์มันสำปะหลังให้สามารถมีความเป็นเลิศในการสร้างรากสะสมอาหาร ซึ่งเป็นการเพิ่มศักยภาพและบทบาทของมันสำปะหลังในการเป็นพืชอาหารและพลังงานสำคัญของประเทศไทย
– เข้าใจบทบาทของกลุ่มยีนควบคุมขนาดอวัยวะพืชในกระบวนการพัฒนาการของรากสะสมอาหารมันสำปะหลัง เพื่อสร้างแนวทางสำหรับกลไกการปรับปรุงสายพันธุ์มันสำปะหลังที่มีความโดดเด่นของผลผลิตรากสะสมอาหาร เพื่อตอบสนองต่อความค้องการในการใช้ประโยชน์ของวัตถุดิบรากสะสมอาหารที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
• การแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมสมดุลของไอออนในแวคิวโอลาเมมเบรน การสะสมของโซเดียมไอออนและการตอบสนองทางสรีรวิทยาในอ้อยที่เพาะเลี้ยงภายใต้สภาวะเครียดของเกลือ
การศึกษาการแสดงออกของยีนที่เกี่ยวข้องกับการรักษาสมดุลของไอออนในแวคิวโอลาเมมเบรน การสะสมของโซเดียม การปรับตัวทางสรีรวิทยาและสัณฐานวิทยา โดยใช้สายพันธุ์อ้อยจำนวน 2 สายพันธุ์ที่มีความแตกต่างทางด้านจีโนไทป์ (อ้อยพันธุ์ K88-92 ที่ทนต่อความเครียดของเกลือ และอ้อยพันธุ์ K92-80 ที่อ่อนแอต่อความเค็ม) ในสภาวะความเครียดของเกลือที่ปลูกทดสอบในโรงเรือนปลูกพืช ผลการวิเคราะห์ด้วยการย้อมสี CoroNa green fluorescence พบว่าการเพาะเลี้ยงต้นกล้าอ้อยในสภาวะเกลือโซเดียมที่มีความเข้มข้น 150 mM ไอออนของโซเดียมจะเข้าสู่รากของต้นอ้อยภายใน 3-7 วัน นอกจากนี้อัตราการเคลื่อนย้ายของโซเดียมไออนจากรากไปสู่ยอดอ้อยในพันธุ์ K88-92 ทนเค็ม มีอัตราที่ลดลง ทำให้ปริมาณโซเดียมไอออนในเซลล์ของใบลดลง ภายในเซลล์รากของอ้อยระดับการแสดงออกของยีน ShNHX1 (vacuolar Na+H+ antiporter) ShV-PPase (vacuolar H+-pyrophosphatase) และ ShV-ATPase (vacuolar H+-ATPase) ในส่วนของแวคิวโอลาเมมเบรน มีการแสดงออกเพิ่มสูงขึ้นในต้นอ้อยที่อยู่ภายใต้สภาวะความเครียดของเกลือ นอกจากนี้พบว่าปริมาณน้ำตาลซูโครส กลูโคส และฟรุกโตสในเนื้อเยื่อของรากอ้อยสายพันธุ์ K88-92 ที่ทนต่อความเค็มมีปริมาณที่สูงขึ้นถึง 10.61 5.58 และ 1.81 เท่าตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับอ้อยสายพันธุ์ที่เป็นสายพันธุ์ควบคุม (อ้อยพันธุ์ K92-80 ที่อ่อนแอต่อความเค็ม) นอกจากนี้ปริมาณน้ำตาลรวมในเนื้อเยื่อรากและโพรลีนในใบอ้อยสายพันธุ์ K88-92 เพิ่มสูงขึ้น 3.08 และ 1.99 เท่าตามลำดับในอ้อยที่ปลูกในสภาวะที่มีความเข้มข้นของโซเดียมคลอไรด์ 150 mM ส่งผลให้สามารถรักษาความสามารถในการปิดเปิดปากใบในกระบวนการสังเคราะห์แสง และการคายน้ำของพืช โดยเฉพาะในอ้อยสายพันธุ์ K88-92 ที่มีศักยภาพสูงกว่าในอ้อยสายพันธุ์ K92-80 กล่าวโดยสรุปคือการกักเก็บโซเดียมไอออนในแวคิวโอลาเมมเบรนของเนื้อเยื่อรากอ้อยเป็นกลไกการทนทานต่อสภาวะความเครียดจากเกลือที่สำคัญของอ้อยสายพันธุ์ K88-92 (ความร่วมมือระหว่างกลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการร่วมกับ Panjab University ประเทศอินเดียและ Meijo University ประเทศญี่ปุ่น) [Protoplasma, 2020, 257: 525–536 (IF 2018 = 2.633)]
• การศึกษายีนที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหมันของอับละอองเรณูตัวผู้ของข้าวที่เป็นหมันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิบนโครโมโซมคู่ที่ 2
การศึกษายีนที่เกี่ยวข้องกับการเป็นหมันของอับละอองเรณูของข้าวที่เป็นหมันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ (thermo-sensitive genic male sterility, TGMS) โดยทำการศึกษาในประชากรข้าวรุ่นที่ 2 (F2) จำนวน 3 กลุ่มประชากร ที่ได้จากการผสมข้าวเป็นหมันจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ [สายพันธุ์ IR68301S ที่ได้รับจากสถาบันวิจัยข้าวนานาชาติ (International Rice Research Institute, IRRI) ประเทศฟิลิปปินส์] กับข้าวจาโปนิกา [สายพันธุ์ IR14632 และ IR67966-188-2-2-1] และข้าวอินดิกา (indica) [พันธุ์สุพรรณบุรี 91062] ผลจากการศึกษาพบประชากรรุ่นที่ 2 ที่มีละอองเกสรตัวผู้เป็นหมันและปกติในสัดส่วน 1 ต่อ 3 ในข้าว 3 กลุ่มประชากร ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพันธุกรรมที่ควบคุมลักษณะความเป็นหมันของละอองเกสรตัวผู้ในข้าวถูกควบคุมด้วยยีนด้อย จำนวน 1 ยีน และผลการศึกษาโดยใช้เครื่องหมายโมเลกุลชนิดไมโครแซทเทลไลท์ (simple sequence repeat; SSR marker) และดีเอ็นเอเครื่องหมายชนิด InDel markers พบว่ายีนที่ควบคุมลักษณะความเป็นหมันของละอองเกสรตัวผู้อยู่บนโครโมโซมคู่ที่ 2 ระหว่างเครื่องหมาย RM12676 และเครื่องหมาย 2gAP0050058 และมียีนอื่น ๆ อีกจำนวน 10 ยีนที่อยู่ระหว่างเครื่องหมายทั้ง 2 นี้ โดยพบยีนจำนวน 7 ยีนจาก 10 ยีน ที่มีการแสดงออกในช่อดอกและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งยีนดังกล่าวอาจมีบทบาทสำคัญต่อการควบคุมลักษณะความเป็นหมันของละอองเกสรตัวผู้ในข้าว องค์ความรู้ที่ค้นพบสามารถนำไปใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวที่เป็นหมันเนื่องจากอุณหภูมิเพื่อการผลิตข้าวลูกผสมให้ทนต่อการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิในอนาคต (ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) [Rice Science (2019) 26(3): 1-17, IF 2017 = 1.521]
• การประเมินและการจัดกลุ่มพันธุ์ข้าวตามความสามารถในการทนเค็มของกลุ่มประชากรข้าวโดยใช้ดัชนีด้านสรีรวิทยาแบบหลายพารามิเตอร์เป็นตัวชี้วัด
ความเค็มเป็นสภาวะความเครียดด้านสิ่งไม่มีชีวิตที่ทำให้พืชมีการเจริญเติบโตที่ลดลง ส่งผลต่อการลดลงของผลผลิต โดยเฉพาะในต้นพืชสายพันธุ์ที่อ่อนแอต่อความเค็ม เป้าหมายของงานวิจัยนี้ต้องการค้นหาดัชนีชี้วัดที่ใช้ในการจัดจำแนกสายพันธุ์ข้าวทนเค็มในระยะต้นกล้า โดยใช้ข้าวจำนวน 8 สายพันธุ์ ได้แก่ ข้าวปทุมธานี 1 ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ข้าวกข 31 ข้าวกข 41 ข้าวสุพรรณบุรี 1 ข้าวกข 43 ข้าวกข 49 และข้าวไรซ์เบอรี่ เป็นฐานพันธุกรรมในการศึกษาวิจัย ต้นกล้าข้าวถูกนำมาปลูกในสารละลายที่มีธาตุอาหารพืชและมีการปรับค่าความเค็มด้วยการเติมเกลือโซเดียมคลอไรด์ที่ระดับ 10 dS m-1 ของค่าการนำไฟฟ้า โดยต้นกล้าข้าวในชุดควบคุมไม่เติมโซเดียมคลอไรด์ มีค่าการนำไฟฟ้า 2 dS m-1 เป็นระยะเวลา 21 วัน ต้นกล้าข้าวปทุมธานี 1 และข้าวขาวดอกมะลิ 105 ที่เป็นพันธุ์อ่อนแอต่อความเค็ม พบใบต้นกล้าข้าวมีลักษณะภาวะบกพร่องคลอโรฟิลล์และใบมีการไหม้โดยต้นกล้าข้าวตายในสภาวะสารละลายเกลือโซเดียมคลอไรด์ อย่างไรก็ตามพบว่าปริมาณคลอโรฟิลล์ชนิดเอ คลอโรฟิลล์ชนิดบี และสารแคโรทีนอยด์ในต้นกล้าข้าวไรซ์เบอรี่และ ข้าวกข 43 ที่ปลูกในสารละลายที่มีเกลือโซเดียมคลอไรด์ มีการคงตัวของเม็ดสีได้ดี เมื่อเปรียบเทียบกับต้นข้าวสายพันธุ์อื่น ๆ ภายใต้สภาวะเครียดจากความเค็ม ต้นกล้าข้าวไรซ์เบอรี่ที่ปลูกในสารละลายเกลือโซเดียมคลอไรด์ มีการสะสมกรดอะมิโนชนิดโพรลีนในปริมาณถึง 8.38 เท่า และมีการเจริญเติบโตดีที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับข้าวสายพันธุ์อื่น ๆ เมื่อนำข้อมูลแบบหลายพารามิเตอร์ด้านสรีรวิทยามาทำการจัดกลุ่มพันธุ์ข้าวสามารถแบ่งกลุ่มพันธุ์ข้าวออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ข้าวกลุ่มที่ 1 คือข้าวทนเค็มสูง ได้แก่ ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวกลุ่มที่ 2 คือ ข้าวทนเค็มปานกลาง ได้แก่ ข้าวกข 31 ข้าวกข 41 ข้าวสุพรรณบุรี 1 ข้าวกข 43 และข้าวกข 49 ข้าวกลุ่มที่ 3 คือข้าวอ่อนแอต่อความเค็ม ได้แก่ ข้าวปทุมธานี 1 และข้าวขาวดอกมะลิ 105 นอกจากนี้ได้ค้นพบองค์ความรู้ด้านการเพิ่มปริมาณของกรดอะมิโนชนิดโพรลีนเพื่อรักษาแรงดันเต่งของเซลล์ภายใต้สภาวะเครียดจากความเค็ม การสลายตัวของรงควัตถุที่ใช้ในการสังเคราะห์แสง ผลกระทบจากไอออนของเกลือต่อการเจริญเติบโต และการพัฒนาของต้นกล้าข้าวที่ผิดปกติเมื่อเกิดสภาวะความเครียดจากความเค็ม (ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ร่วมมือกับคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา) [Physiology Molecular Biology of Plants (2019) 25(2): 473–483, IF 2017 = 1.151]
• การเตรียมต้นกล้ายางพาราในระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อภายใต้ระบบการกระตุ้นการสังเคราะห์แสง เพื่อส่งเสริมการปรับตัวของต้นกล้ายางพาราหลังการย้ายปลูกในโรงเรือนปลูกพืช
การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชเป็นเทคนิคการขยายพันธุ์พืชจำนวนมากที่มีความคงตัวทางพันธุกรรม ได้ต้นพืชที่มีความสม่ำเสมอ และมีความแข็งแรง วิธีการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช มี 2 ระบบ ประกอบด้วยออร์แกนโนเจเนซิส (organogenesis) ซึ่งเป็นการพัฒนาเป็นอวัยวะโดยตรงจากเซลล์ร่างกาย และโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส (somatic embryogenesis) ซึ่งเป็นการเกิดเอ็มบริโอจากเซลล์ร่างกาย อย่างไรก็ตามสภาวะสิ่งแวดล้อมในระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ ได้แก่ ธาตุอาหารที่เกินจำเป็น จำกัดการไหลเวียนของอากาศ ความชื้นสูง และมีความเข้มแสงที่ต่ำ ส่งผลให้ลักษณะรูปร่างและสรีรวิทยาของพืชมีความผิดปกติ เช่น ปัญหาการอวบน้ำ (hyperhydricity) การทำงานของปากใบผิดปกติ (stomatal disorder) การสูญเสียความสามารถในการสังเคราะห์แสง และการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เป็นต้น ส่งผลให้การย้ายปลูกต้นกล้ายางพาราที่ผ่านระบบการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีอัตราการรอดชีวิตต่ำ นักวิจัยหน่วยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชร่วมกับศูนย์วิจัยยางฉะเชิงเทรา ทำการพัฒนาระบบการเตรียมต้นกล้ายางพารา ภายใต้สภาวะที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สูง ที่ส่งเสริมการปรับตัวทางสรีรวิทยา และรูปร่างลักษณะของต้นยางพารา ส่งผลให้มีอัตราการรอดชีวิตสูง หลังการย้ายไปปลูกในโรงเรือน เพื่อเป็นข้อมูลในการผลิตต้นกล้ายางพาราในเชิงพาณิชย์ต่อไป งานวิจัยนี้ได้ทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อยางพาราผ่านระบบโซมาติกเอ็มบริโอเจเนซิส จำนวน 2 พันธุ์ ได้แก่ ยางพาราพันธุ์ RRIM600 และยางพาราพันธุ์ RRIT413 เป็นเวลา 45 วัน พบว่าการรอดชีวิตของต้นยางพารา พันธุ์ RRIT413 ภายใต้สภาวะที่มีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ (ambient CO2) สูงกว่าภายใต้สภาวะที่มีความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูง (CO2-enriched conditions) ซึ่งอัตราการรอดชีวิตของต้นยางพาราในระบบเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช และในสภาพโรงเรือนปลูกพืช (ex vitro) มีความคล้ายคลึงกัน ในขณะที่ยางพาราสายพันธุ์ RRIM600 ไม่ตอบสนองต่อสภาวะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ การปรับตัวของต้นกล้ายางพาราที่ทำการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อภายใต้สภาวะที่มีความเข้มข้นของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่สูงขึ้นอยู่กับลักษณะทางจีโนไทป์ของต้นยางพาราซึ่งเป็นตัวควบคุมการเจริญเติบโต การพัฒนา และปรับตัวของต้นยางพาราในสภาพแวดล้อมภายนอกหลังการย้ายปลูก นอกจากนี้ยังมีผลทำให้ปริมาณน้ำตาลซูโครส กลูโคส และฟรุกโตส มีปริมาณสูงขึ้น ซึ่งใช้เป็นตัวบ่งชี้ (indicator) การปรับตัวของต้นยางพาราในสภาพแวดล้อมภายนอกได้ [Plant Cell Tissue and Organ Culture,2017, 1–9 (Impact factor 2016 = 2.002)
• การพัฒนาวิธีการใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลจีโนมและฐานข้อมูลการแสดงออกของยีนในมันสำปะหลัง
การพัฒนาฐานข้อมูลจีโนมและฐานข้อมูลการแสดงออกของยีนในมันสำปะหลัง ที่มีบทบาทในกระบวนการตรึงคาร์บอนไดออกไซต์ การสังเคราะห์น้ำตาล การสังเคราะห์แป้ง การสังเคราะห์กรดอะมิโน การสังเคราะห์กรดไขมัน การสังเคราะห์นิวคลีโอไทด์ การสร้างผนังเซลล์ และการหายใจของเซลล์ โดยวิเคราะห์เชิงเปรียบเทียบกับฐานข้อมูลจากพืชต้นแบบ จำนวน 6 ชนิด ได้แก่ Arabidopsis ข้าว ข้าวโพด มันฝรั่ง ละหุ่ง และผักกาดเทอร์นิพ ซึ่งสามารถเข้าไปใช้งานได้ในเว็บไซต์ (https://bml.sbi.kmutt.ac.th /MeRecon) (ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ศช. ร่วมมือกับคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี) [Scientific Reports (2018) 8:16593: 1-16, IF2017 = 4.122]
นอกจากนี้ได้นำเครือข่ายการใช้คาร์บอนในมันสำปะหลัง (MeRecon) มาพัฒนาต่อยอดโดยมุ่งเน้นศึกษากระบวนการนำน้ำตาลซูโครสไปใช้ในการสังเคราะห์ชีวมวลภายในรากสะสมอาหารของมันสำปะหลัง และศึกษาการเชื่อมโยงของเมตาบอลิซึมของคาร์บอนในออร์แกเนลล์ภายในเซลล์ที่มีหน้าที่เฉพาะ เพิ่มการเชื่อมโยงของเมตาบอลิซึมของคาร์บอนในออร์แกเนลล์ต่าง ๆ ภายในเซลล์ และเมื่อนำข้อมูลทางสรีรวิทยา ชีวเคมีและอัตราการเปลี่ยนแปลง ชีวมวลที่ได้จากการปลูกเปรียบเทียบมันสำปะหลังจำนวน 2 สายพันธุ์ที่ให้ผลผลิตรากสะสมอาหารและปริมาณแป้งที่แตกต่างกัน คือ พันธุ์เกษตรศาสตร์ 50 (KU50) และพันธุ์ห้านาที (HN) สามารถสร้างเป็นเครือข่ายเมตาบอลิซึมการใช้คาร์บอนที่จำเพาะของมันสำปะหลังแต่ละพันธุ์ (rMeCBM-KU50 และ rMeCBM-HN) ผลการวิเคราะห์อัตราการไหลผ่านของคาร์บอนในแต่ละปฏิกิริยาชีวเคมีในเครือข่ายแสดงให้เห็นว่ามันสำปะหลังทั้ง 2 พันธุ์ มีการนำคาร์บอนไปใช้เพื่อการสังเคราะห์คาร์โบไฮเดรตและปริมาณพลังงานที่ใช้แตกต่างกัน ผลงานดังกล่าวได้รับการตีพิมพ์ภายใต้หัวข้อเรื่อง Understanding carbon utilization routes between high and low starch-producing cultivars of cassava through Flux Balance Analysis (ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ ร่วมมือกับคณะทรัพยากรชีวภาพและเทคโนโลยี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี และศูนย์วิจัยพืชไร่ระยอง) [Scientific Reports (2019) 9:2964: 1-15, (IF2017 = 4.122)]
นักวิจัย (หัวหน้าทีมวิจัย)
นักวิจัยอาวุโส
นักวิจัย
นักวิจัยหลังปริญญาเอก
เจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการ
ผู้ช่วยปฏิบัติงานวิจัย
ทีมวิจัยนวัตกรรมด้านพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาพืช
กลุ่มวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพพืชและการจัดการแบบบูรณาการ
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ
113 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย
ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120
โทรศัพท์: 02-564-6700